หลังจากเคลียร์งานที่ออฟฟิตหมดเลย เกิดอาการว่างม๊ากมาก เลยค้นหาอะไรดูเรื่องเปื่อย บังเอิญเจอข้อมูลน่าสนใจ เป็นเรื่องของ ผู้ชายคนนึงผู้มีปณิธานอันแน่วแน่ เค้าเดินทางจากกรุงเทพไปอิตาลี่ด้วย สกุตเตอร์!!! เรื่องราวของท่านน่าสนใจมากค่ะ
"อินสนธิ์ วงศ์สาม" ท่านเป็นศิลปินชาวลำพูน สำเร็จการศึกษาจากคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับรางวัลในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติหลายครั้ง (เกียรตินิยมอันดับ 2 เหรียญเงิน ประเภทภาพพิมพ์ เกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง ประเภทประติมากรรมของจิตรกรและประติมากรสมาคม
วันนี้ขออนุญาตินำเรื่องราวที่ท่านได้บันทึกการเดินทางมาแชร์ให้อ่านกันนะคะ(เนียนเลยช่วงนี้ไม่มีเงินเที่ยว)
“รถเล็ก” สร้าง “เรื่องใหญ่”
16 เดือนกับอินสนธิ์ ตำนานสุดอึด!!! กรุงเทพฯ-อิตาลี
16 เดือน…บนสกู๊ตเตอร์…ไทย…ไปอิตาลี!!! ใครนะ…??? จะกล้าคิด “การใหญ่” ขนาดนี้…คำถามที่ผุดขึ้นแว๊บ…บ แรกในถึงหัวข่าวโคมลอยที่กระเด็นมาเข้าโสต ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ถูกรวบรวมผ่านเพื่อนพ้องในวงการณ์ที่คอยให้การสนับสนัน 2-3 สัปดาห์ ภาพเบลอๆ เริ่มปรับชัดหลังได้สนทนายืนยันถึงที่มาต้นเรื่อง “ผม” แพ็คกระเป๋าเล็กๆ พร้อมเพื่อนที่รู้คอที่ตามสมทบอีก 2-3 คน ขึ้นเหนือหวังตามรื้อเจ้าของตำนาน ที่ “สื่อสยาม” เริ่มให้ความสนในฐานะศิลปินแห่งชาติที่มีวัติยาวเหยียด…ด ซึ่งถ้อยแถลงในนั้นดันโดนใจเราตรงที่…เป็นการเดินทางข้ามโลกด้วยรถ…แล มฯ…!?!?!
“ผม” ยิงคำถามเดียว แต่กลับได้รับคำตอบกลับมาเป็นชุด…ฟังระรื่น…!?!?!
ชีวิต วัยเด็กผมไม่ต่างจากเด็กต่างจังหวัดทั่วไป “พ่อ” ผมเป็นผู้จุดประกายความเป็นศิลปินให้ตั้งแต่วัยเยาว์ จะเรียกว่าท่านเป็นศิลปินของท้องถิ่นใน อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ก็ว่าได้ ท่านรักงานด้านหัตถกรรม งานที่คุ้นตาของผมเป็นงานออกแบบเครื่องเงินแบบท้องถิ่น และยังชอบเรื่องโหราศาสตร์ ท่านเคยให้ผมวาดภาพ 12 นักสัตว์ที่ใช้ประกอบภาพร่างในปฏิทินเกี่ยวกับการพยากรณ์ ผมมีโอกาสได้ช่วยงานด้านหัตถกรรมเกี่ยวกับประติมากรรม งานไม้ แกะสลัก และเครื่องเซรามิค…หลังจากที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลาย ผมอยากจะเรียนทางด้านศิลปะ แต่กลับไม่มีแนวทาง กระทั่งวันหนึ่งพบกับรุ่นพี่ที่ชื่อ ทวี เขาศึกษาที่ศิลปากรในกรุงเทพฯ เขาแนะให้ผมเข้ากรุงเทพฯ เรียนที่โรงานเตรียมศิลป์ ก่อนที่จะเข้าศิลปากรต่อไป…ผมไม่รู้จักกรุงเทพฯ ตอนนั้นอายุ 18 ปี (2497) ผมเห็นอนาคตในกรุงเทพฯ และตั้งใจที่จะเป็นศิลปินอย่างที่ต้องการ ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะศึกษา (เตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร) และโชคดีที่ได้เรียนกับท่าน อาจารย์ศิลป์ พีระศรี (นามเดิม ซี. เฟโรจี ชาวอิตาเลียน/ 2436-2505) ผมเริ่มที่จะเข้ามารับรู้ถึงงานศิลปะอย่างจริงจังและหล่อหลอมให้ผมมีความชอบ ที่ไม่อาจถอนได้แล้ว หลังจากนั้น 2 ปี ผม…เข้าเรียนที่ศิลปากร และมีโอกาศได้ใกล้ชิดกับท่าน อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ตลอด 5 ปีเต็ม ผมเรียนในสาขาจิตรกรรมและประติมากรรม
2504 หลังจากจบการศึกษา ผมได้รับเงิน 800 บาทที่ได้จาก Bangkok Art Center ผมใช้เงินเพื่อเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และสร้างงานศิลปะตามที่ต่างๆ ได้เรียนรู้ถึงวิถีทางการดำเนินชีวิตในแง่ต่างๆ…หลังจากนั้นก็เกิดความคิด ขึ้นมาในหัวว่าอยากที่จะเดินทางรอบโลก…ผมอยากไปที่ฟลอเรนฅ์ อิตาลี สถานที่เกิดท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี…แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินทางอย่างไรดี!!!
ผม เจอกับ สุพัฒน์ การะศิลป์ เขาทำงานที่ ททท.ในงานแสดงศิลปะเราพูดถึงการเดินทางรอบโลก เขาอยากไปกับผม แต่เราไม่มีเงิน เขามีรถแต่ทว่าก็เก่ากลัวว่าจะไปไม่รอด อยากใช้รถใหม่แต่ก็ราคาสูงมาก…สุดท้ายหลังได้รับการแนะนำจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เราตกลงจะใช้รถ Scooter เราจึงทำโครงการเสนอที่ Berlie Jucker Company (ดีลเลอร์ของแลมเบร็ตต้า) เพื่อของรับการสนับสนุน ซึ่งผู้จัดการเขาป็นเพื่อนกับท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เราบอกเขาว่าจะเดินทางไปอิตาลีโดยใช้ระยะเวลา 3 เดือน…หลังจากนั้นเขาก็ให้รถ Lambretta TV175 Serie II เรามา 1 คัน แต่เราต้องการใช้รถ 2 คัน เลยต้องซื้อเพิ่มอีก 1 คัน แต่ก็ยังดีที่ซื่อได้ในครึ่งราคา เราไม่มีความรู้เชิงช่างก็ต้องให้แมคคานิคที่นี่สอนเกี่ยวกับการซ่อมบำรุง เอาชนิดที่เป็นเร็วๆ และแนวทางที่ง่ายที่สุด หลังจากได้รถอย่างที่ต้องการ ก็ถึงคราวต้องหาค่าใช้จ่าย เราได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และเพื่อนๆ ที่ศิลปากรที่อยากให้เราสร้างฝันให้สำเร็จทั้งสิ้น 30,000 บาท และจาก Esso อีก 8,000 บาท…แล้วเราก็พร้อมเดินทาง!!!
เรา ทำการดัดแปลงรถ Scooter นั้นเสียใหม่เพื่อให้เหมาะกับการเดินทาง มันจะเป็นเสมือนบ้านให้เราตลอดเส้นทาง อุปกรณ์ทำอาการง่ายๆ ถุงนอน และเสื้อผ้าอีกไม่กี่ตัวถูกติดตั้งที่ด้านหน้า/หลัง ส่วนด้านข้างนั้นเป็นที่เก็บงานศิลป์ที่พับม้วนกว่า 200 ภาพในกล่องเก็บข้างละ 6 กล่องและอุปกรณ์วาดภาพที่ถูกแพคกันน้ำอย่างดีในกระเป๋าหนัง กับอุปกรณ์ซ่อมบำรุงเล็กน้อย โดยเฉพาะหัวเทียน
2505 หลังจากการเสียชีวิตของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ระหว่างพิธีศพผมบอกกับท่านว่าผมจะเดินทางไปบ้านท่านและจะสร้างฝันนั้นให้ เป็นจริง…หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ผมก็ออกเดินทางจากประตูน้ำ…การผจญภัยของผมเริ่มขึ้นแล้ว!!!…เราออก จากกรุงเทพฯ มุ่งลงใต้จนสิ้นสุดการเดินทางถนนเรียบๆ ที่ปีนัง เรามาช้าไปเพียงอึดใจ เรื่องออกไปแล้ว ต้องรอเรือข้ามฝากเที่ยวหน้าถึง 1 เดือน เราไม่มีทางเลือกเราต้อง…รอ มันเป็นความหน้าตื่นตาในต่างแดนครั้งแรก เรารู้ว่ามันสนุกมากและก็ใช้เงินหมดไปอย่างไม่มีแบบแผน เราเป็นกำวลอีกครั้งจนคิดว่าจะกลับบ้าน ทว่าก็นึกถึงเพื่อนๆ ครอบครัว ทุกคนที่เกี่ยวข้องที่ฝากความหวัง เราจึงต้องทำทุกวิธีทางเพื่อให้เดินทางต่อไป เราสร้างงาน และก็ขายงานได้บ้าง พอทีจะมีเงินที่จะใช้เดินทางต่อ…ที่สุดเรือก็มา เราเดินทางขึ้นฝั่งที่ Calcata อินเดีย
ในเดือนมิถุยายน 2505 มันน่าตื่นตาอีกครั้ง จำได้ว่า ผมขับรถ Scooter ทั้งวันกระทั่งค่ำเพื่อชมสถานที่ก่อสร้างที่สวยงามทั่วเมือง ก่อนเข้าพักที่โบสถ์ฮินดู เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เราใข้เวลาอยู่ใน Calcata อีก 2-3 วัน ก็เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ สุพัฒน์ ต้องการกลับบ้าน เขาไม่สนุกกับการเดินทางแล้ว…เขาบอก บางทีเขาอาจคิดถึงลูกเล็กๆ ทั้ง 2 คนที่อยู่กรุงเทพฯ เขาล้มเลิกความฝันและขาย Scooter พร้อมกับบินกลับกรุงเทพฯ ปล่อยให้การเดินทางเป็นของผมแต่เพียงลำพัง!!! ผมเสียใจมากแต่ก็มุ่งหน้าทำความฝันให้สำเร็จ ผมขับ Scooter มุ่งหน้าสู่ Delhi อย่างสันโดษ…ที่นี่ผมมีโอกาสพบปะสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเจอ เนื่องจากไม่มีเงินจึงต้องอาศัยพักตามสถานที่ต่างๆ วัด โบสถ์ฮินดู สถานที่แสดงงานศิลป์ สถานฑูตไทย ที่นี่ผมเริ่มได้เพื่อน ได้ที่พัก ได้อาหาร ผมเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกแล้ว
อินเดีย เป็นเมืองที่น่าอยู่ มีขนบธรรมเนียมที่ดีงาม เราเคยรับรู้ผ่านทางตัวหนังสือเท่านั้น ผมมีโอกาสจริงได้เจอสถานที่ที่ประสูตรของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า Bodh-Gaya…ผมใช้เวลาในอินเดียถึง 2 เดือน ผมรักที่นี่ จนทำได้ได้ยากที่จะจากมา ผมมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่ Lahore มันเป็นประสบการณ์ใหม่ในดินแดนของมุสลิม แต่ผมไม่มีเงิน ผมต้องขายงานที่สร้างขึ้นในอินเดียบางส่วน…ผมโชคดี!!! งานผมขายได้ ผมมีทุนรอนที่จะเดินหน้าต่อไป…ระหว่างเส้นทางผมอยากที่จะเปิดแสดงงานไปด้วย บางที่ก็ได้รับการตอบสนอง บางที่ก็ต้องแสดงกันข้างๆ รถนี่แหละ บ้างก็ได้รับความสนใจ บ้างก็ต้องผิดหวัง แต่ก็ไม่สิ้นหนทางเสียทีเดียว ในเดือนตุลาคมของปี 2505 ผมมีโอกาสได้แสดงงานใน Karachi หลังได้รับการประสานงานจากเพื่อนใน Lahore ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ...
ที่ Karachi ผมได้เจอ ปรีชา บางน้อย เพื่อรุ่นพี่ที่ศิลปากร เขาฝากฝังผมผ่านจดหมายไปให้เพื่อนของเขาในสถานที่ต่างๆ ก่อนมุ่งหน้าเข้าสู้ดินแดนตะวันออกกลางนาม Teheran ประเทศอิหร่านในเดือนธันวาคม 2505 อากาศในทะเลทรายแปรปรวนมากระหว่างกลางวัน/ กลางคืน มันเหมือนอยู่กันคนละโลก อย่างไรเสียมันเป็นสภาวะที่ผมต้องเผชิญและต้องผ่านมันให้ได้ด้วย ใน Teheran ผมไม่มีเงินเลยต้องขอความช่วยเหลือจากองค์การ UNESCO และได้รับการช่วยเหลือโดยเข้าทำงานที่การท่องเที่ยวของอิหร่าน ผมได้รับงานออกแบบโปรเตอร์โปรโมทการท่องเที่ยว ผมเสนอด้วยงานภาพพิมพ์ขนานใหญ่ซึ่งเขาเองก็พอใจมาก อยากให้ผมนำเสนองานรูปแบบอื่นๆ อีกหากต้องการ แต่ผมก็ต้องปฏิเสธเพราะยังคงรักษาคำมั่นที่จะต้องเดินทางให้บรรลุวัตถุ ประสงค์…ผมกับปรีชาได้แสดงงานในแกเลอรี่ใน Teheran กับเพื่อนอีก 2-3 คน งานของเราขายได้ เริ่มมีคนรู้จัก เราเริ่มที่จะมีเงินใช้สอย แต่สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจแยกทาง ปรีชามุ่งหน้าด้วยรถไฟสู่เยอรมนี ส่วนผมกับ Scooter คู่ใจต้องมุ่งหน้าสู่ Istanbul ประเทศตุรกี
ที่ ตุรกี…ผมเลือกที่จะเดินทางในเวลากลางคืนเนื่องจากสภาพอากาศไม่ร้อนอบอ้าว และก็จะพบกับเมืองใหม่ๆ ในเช้าของทุกวัน ผมไม่รู้จักเส้นทางดีมากนัก จึงอาศัยวิ่งตามเส้นทางของพวกรถบรรทุก ที่นี่ภาวะเดิมๆ นั้นกลับมารุมเร้าเฉกเช่นเดิม ผมไม่มีเงิน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมหิวแต่กลับไม่มีอาหารอะไรเหลืออยู่เลย…ผมโชคดี ได้เจอกับสาวตุรกีคนหนึ่ง เธอ…สนใจงานผม เธอ…ไม่ได้ซื้องานผม เธอ…พาผมไปกินอาหารที่ร้านเพื่อนของเธอ เธอ…ยังเชื่อมั่นในแนวทางของที่ผมทำ ซ้ำยังประสานงานให้ผมได้แสดงงานในเมือง เรายุติความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อน ณ ตรงนั้น ก่อนพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่…แต่กลับรักษามันได้เพียง 2 เดือน จากเหตุผลที่พันธนาการต่อกับการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด
ผม…ถือ ใบขับขี่สากล กับหนังสือรับรอง พร้อมใบผ่านแดนที่ออกให้จากกรมตำรวจและราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย (รยสธ.) ผมและ Scooter คู่ชีพจะเดินทางไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ แต่บางที่กลับไม่ได้รับความสะดวก เนื่องจากเขาเองก็ไม่เชื่อว่าผมกับ Scooter คันนี้จะเดินทางได้จริงๆ มันเป็นไปไม่ได้ ต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียด อย่างในตุรกีที่เส้นทางเต็มไปด้วยหิมะ ผมต้องรอใบผ่านแดนนานมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่เชื่อว่าผมจะเดินทางข้ามทวีปจากเอเซียมายุโรปได้ด้วย Scooter คันเล็กๆ นี้…แต่สุดท้ายก็ต้องยอมหลังจากหลายฝ่ายต่างให้ข้อมูลสนับสนุน
สวรรค์ โปรดอีกครั้งหลังจากเดินทางมาถึงกลางตุรกี ผมได้รับเงินจาก Esso อีก 200 ดอลลาร์ งานผมที่กรุงเทพฯ ขายได้…ผมมุ่งหน้าสู่ Athen ประเทศกรีซ ประเทศนี้สวยมาก อากาศดี น้ำทะเลสีฟ้า ผู้คนก็ดูเป็นมิตร ผมหลงรักกรีซเข้าอีกแล้ว ผมขับ Scooter ชมความงานทั้งวัน ทั้งคืน และก็วาดภาพจากสถานที่แห่งนี้มากด้วย ผมอยู่ที่นี่ 2 เดือน ก่อนที่จะได้มีโอกาสแสดงงานอีกครั้ง ที่งานแสดงผมพบเพื่อนศิลปินชาวนิวยอร์คที่ชื่อ Alexander ซึ่งอยู่ระหว่างการท่องเที่ยวหลังจบการศึกษา เขาสนใจงานผมและต้องการที่จะได้เป็นเจ้าของ…เขาไม่มีเงิน แต่ผมก็ขายให้ไปในราคาที่ถูกมากๆ และก็ให้ผ่อนเป็นรายเดือนอีกด้วย เราสนทนากันถูกคอมาก เราแลกเปลี่ยนทัศนะด้านงานศิลป์ เราตัดสินใจร่วมทริปกันสู่เกาะ Corfu ทางตอนใต้ของกรีซ เรามีช่วงเวลาที่ดีซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปเดือนที่ 6 ผมใช้ชีวิตแบบชาวประมง มันเป็นวัตถุดิบอย่างดีในการสร้างงานศิลป์ ผมยังจดจำกลิ่นอายของคาวปลาและวิถีทางที่เรียบง่าย สงบนิ่ง มันเป็นแบบฉบับที่เราไม่เคยเจอ ที่นี่เสมือนบ้านอีกหลังที่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจ
Lambretta คันเล็กๆ ของผมมันก็สุดยอด เราร่วมทางกันมาตั้งแต่ต้นจบ ไม่มีเกเรให้ต้องรำคาญใจ มีเฉพาะการแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ที่พอรับมือ ครั้งหนึ่งผมนำ Scooter เข้าเช็คเครื่องยนต์ในอุ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ผมบอกไม่มีเงินให้เขาหรอก เขากลับบอกว่าเขาก็ไม่ต้องการเงินเช่นกัน ผมจึงให้งานศิลป์ของผมแทน มันเป็นความทรงจำที่ดี แถมยังได้อาหาร ที่พัก และการสอนภาษาให้อีกด้วย…ผมนำ Scooter ลงเรือเฟอร์รี่ข้ามฝากจาก Corfu มุ่งหน้า Brindisi เมืองท่าสำคัญทางตอนใต้ของอิตาลี…ผม…ทำถึงแผ่นดินเกิดของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี แล้ว…ฝันของผมเป็นจริง!!! ผมมุ่งหน้าเข้า Rome ในเดือนสิงหาคม 2506 ซึ่งมันตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ผมขับ Scooter ไปทั่วเมือง…ที่นี่ผมพบ ดำรงค์ เพื่อนคนไทยที่อยู่ที่นี่มานานพอควร เราตัดสินใจร่วมทริปกันด้วย Scooter ของผม เราเดินทางไปยังบ้านเกิดของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ Geovenni ใกล้ๆ กับ Florence…เราถึงบ้านท่านอาจารย์ในเช้าตรู่ ทว่ากลับไม่มีใครอยู่ที่บ้าน เรานั่งรอที่หน้าบ้านกว่าชั่วโมง ในใจก็ระลึกถึงท่าน บอกท่านว่า “ผม”…พบบ้านท่านแล้ว !!!
ที่ Florence ผมตั้งใจจะแสดงงานศิลป์เพื่อบอกเล่าให้ผู้คนรับรู้ว่า ผมเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เกจิศิลปินที่เกิดที่เมืองนี้…ฝันผมเป็นจริง!!! ผมและดำรงค์ ได้แสดงงานใน Numero Galley ในฟลอเรนซ์…เรากลับในเดือนพฤศจิกายน 2506 ดำรงค์ต้องการอยู่ต่อ เขาอยากที่จะหาที่เรียนศิลปะที่นี่ ส่วนผมที่ยังไม่อยากเรียนกลับเกิดแนวคิดใหม่ ฝันผมไปไกลถึงยุโรปแล้ว ผมต้องการเดินทางต่อจึงพา Scooter คู่ชีพเข้ารับการช่วยเหลือที่โรงงานแม่ของ Lambretta ในโรมหวังจะให้เขาเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ใหม่ เพราะอาการเสียงดังที่เครื่องยนต์มันน่าวิตก ซึ่งผมคิดว่ากว่า 20,000 กม. เครื่องยนต์มันคงไปไม่ไหวแล้ว…ผมได้รับการปฏิเสธ!!! จึงต้องจำใจละทิ้งเจ้า Scooter คู่ชีพไว้ที่สถานฑูตไทยในโรม เป็นการปิดฉากการเดินทางถึง 16 เดือนบนอานรถจักรยานยนต์อย่างเป็นทางการ “ผม” มุ่งหน้าโดยรถไปสู่ Vienna ประเทศฝรั่งเศส ใช้ชีวิตตามวิธีทางเฉกศิลปินอิสระ ที่หวังเพียงสร้างงานศิลป์ควบคู่กับการดำรงค์ชีวิตในดินแดนหลากอารยะธรรม
12 ปีในต่างแดน…ตัดสินใจกลับลำพูนในปี 2517 ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สร้างสรรค์งานศิลป์และร่วมกิจกรรมเพื่อท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง และได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) ประจำปี 2542 นอกเหนือจากนั้นท่านอาจาร์ย์อินสนธิ์และภรรยา ได้ร่วมกันก่อตั้ง “มูลนิธิอุทยานธรรมะและหอศิลป์” จ.ลำพูน (องค์กรร่วมอย่างเป็นทางการของโครงการวัฒนธรรมเพื่อสันติศึกษาของยูเนสโก) เพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้คนได้พบปะ และเปลี่ยนประสบการณ์ พัฒนาจิตสำนึกที่ดีเพื่อท้องถิ่น ในรูปแบบของการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เชิงอนุรักษ์…
ผมเคยกลับ มาตามหา Scooter ที่อิตาลีถึง 2 ครั้ง ที่สถานฑูตเองก็ไม่มีใครทราบเรื่อง น่าเสียดายที่เพื่อน “คันนี้” ต้องอันตรธานไป เราคงทิ้งเวลาให้ล่วงเลยไปนาน สถานฑูตเองก็มีการบูรณะก่อสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นใหม่ สำหรับ “เขา” มันก็แค่…ซากรถเก่าๆ ที่ดูเกะกะ สำหรับ “ผม” มันมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น…ซึ่งเราทั้งคู่รู้ดี !!!
CREDIT: http://atcloud.com/stories/51277
http://www.finearts.cmu.ac.th/3784483434
KATEWAY
0 กล่องดำ:
แสดงความคิดเห็น