katewaY. ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS

เริงร่าท้าหนาว กับ mascot งานมหกรรม พืชสวนโลก



mascot หรือสัญลักษณ์ตุ๊กตางานมหกรรมพืชสวนโลก นำทีมตุ๊กตาราชพฤกษ์ออกทัวร์ ออกทัวร์ทั่วไทย เชิญชวนคนไทยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก ซึ่งเป็นศูนย์รวมจัดแสดงพืชพรรณไม้ดอกไม้ประดับเขตร้อนกว่า 2,200 ชนิด กว่า 2 ล้าน 5 แสนต้น สู่สายตานานาประเทศทั่วโลก


"น้องคูน" ส่วนชื่อจริงนั้นเรียกว่า "ราชพฤกษ์" ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย ผมขอรับอาสาเป็นหัวหน้าทีมพาเพื่อนๆเที่ยวงาน "ราชพฤกษ์ 2549" อันที่จริงเห็นผมตัวแค่นี้ แต่ผมเป็นคนที่รักการผจญภัย และรักธรรมชาติมาก แถมยังชอบความผาดโผน และใฝ่หาความรู้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความที่ชอบคิดอะไรใหม่ๆ ผมจึงชอบคิดหาวิธีเล่นแผลงๆให้กับเพื่อนๆอยู่เสมอ


น้องกุหลาบ ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทน "ดอกกุหลาบควีนสิริกิติ์" ดอกกุหลาบลูกผสมระหว่าง colour wonder และ golden giant เป็นกุหลาบประเภทดอกใหญ่ (hybrid tea) มีลำต้นแข็งแรง ตัวกลีบดอกสีเหลืองขอบสีแดงระเรื่อ ลักษณะซ้อนกันหลายชั้น และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ "กุหลาบ" เป็นสาวสวยสาวสวยประจำกลุ่มที่มีความอ่อนหวาน เฉลียวฉลาด อ่อนน้อมถ่อมตน ใจเย็นและรอบคอบ เป็นหญิงสาวสมัยใหม่ทันสมัยแต่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของกุลสตรีไทยที่ชอบทำกับข้าวและเย็บปักถักร้อย

นารี ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทน ดอกกล้วยไม้รองเท้านารี เป็นเจ้าหญิงน้อยจอมซนซึ่งอาศัยอยู่ข้างบ้านของ"กุหลาบ" ความที่ "นารี" มีบุคลิกที่ค่อนข้างซุกซนจึงมักจะก่อเรื่องวุ่นวายให้กับคนรอบข้าง แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด หรือบางทีเป็นการฉลาดแกมโกง "นารี" จึงมีเรื่องตลกมาให้เพื่อนๆ พี่ ๆ ได้หัวเราะกันเสมอ


บัว ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทน ดอกบัว "ราชินีแห่งไม้น้ำ" สัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และคุณงามความดีในพุทธศาสนา "บัว" จึงมีบุคลิกของสาวสวยที่คงรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีไทยไว้อย่างเคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้ว การที่ "บัว" เติบโตอยู่ในตระกูลผู้ดีเก่าจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาการทำอาหาร- ขนม การร้อยมาลัย และการแกะสลักผักผลไม้ ฯลฯ มาจากในวัง "บัว" เป็นหญิงไทยเต็มร้อย จึงมีนิสัยอ่อนแอ ชอบร้องไห้ ขี้หวาดกลัว ในกลุ่มเพื่อนบัวจะสนิทกับกุหลาบ เพราะเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทั้งคู่มักจะอยู่ด้วยกันเสมอ

ก้านยาว ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทน "ทุเรียน" ผลไม้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นราชาของผลไม้ "ก้านยาว" เป็นหนุ่มเมืองจันท์ มีร่างกายที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ และด้วยความที่เป็นหนุ่มอารมณ์ดี ขี้เล่น มองโลกในแง่ของความเป็นจริง และเป็นตัวตลกประจำกลุ่มที่สร้างรอยยิ้มให้เพื่อนๆ ได้เสมอ จึงเป็นที่รักของทุกคนที่ได้พูดคุยด้วย นอกจากนี้ก้านยาวยังเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ รักการเรียนรู้ทางการเกษตรและพันธุ์พืชเขาจึงชอบเข้าไปคุยกับตาทุ่งซึ่งทำให้เขามีความรู้ด้านการเกษตรมากขึ้นอีกด้วย

มังคุด ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทน "มังคุด" ราชินีของผลไม้ เป็นผลไม้เมืองร้อนที่มีรสชาติหวานอร่อย เนื้อในมีสีขาวสะอาด "มังคุด" เป็นขวัญใจของหนุ่มก้านยาว เป็นสาวไฮโซที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ชอบความหรูหรา รสนิยมทันสมัย และหลงตัวเอง ชอบการแสดงออกทั้งการร้องเพลง รวมไปถึงการถ่ายแบบและมีวิธีการพูดจาเป็นภาษาสมัยใหม่ประเภทไทยคำฝรั่งคำ

ฝักบัว ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทน "ฝักบัวรดน้ำ" เป็นหนุ่มน้อยผู้คอยดูแลสวน รักการปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ในแต่ละวันจะคอยรดน้ำ พรวนดินและคอยดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ ดอกไม้ทั้งหลายให้เติบโตและเบ่งบาน เวลาเพื่อนๆทะเลาะกัน ฝักบัวจะเป็นคนคอยห้ามเสมอๆ จึงเป็นที่รักของผองเพื่อน

จ้อน ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทน "ผักกาด" ที่มีต้นกำเนิดอยูในทวีปเอเชีย "จ้อน" เป็นเด็กน้อยจากยอดดอยผู้รักการผจญภัย และใฝ่ฝันจะเดินทางรอบโลก เพื่อให้จอผักกาดได้เป็นอาหารระดับโลก "จ้อน" มีนิสัยขี้หงุดหงิดและชอบโวยวาย ชอบทำตัวเปิ่นๆ เชยๆ พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ชอบคิดว่าตัวเองเท่ห์และเก่งกล้า แต่เวลาพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จ้อนก็มักจะหลบหนีไปก่อนอยู่เรื่อย "จ้อน" มีปฏิญาณว่าจะต้องแกล้งนารีให้ได้สักครั้ง แต่ทว่าจ้อนก็ต้องแพ้ภัยตัวเองอยู่เสมอ

และสุดท้าย "ตาทุ่ง" คุณตาใจดี ที่ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์สื่อแทน "หุ่นไล่กา" ซึ่งเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของชาวนา ทำหน้าที่ยืนตากแดด ตากลม สู้ฝน เพื่อไล่ฝูงนกกาไม่ให้ลงมาทำลายแปลงนาข้าว "ตาทุ่ง" มักจะมีเรื่องราวมากมายมาเล่าให้หลาน ๆ ฟังจึงเป็นที่รักของเด็กๆ เพราะนอกจากนิทานสนุกๆ แล้ว ตาทุ่งยังเป็นแหล่งความรู้และที่ปรึกษาชั้นเยี่ยมอีกด้วย โดยเฉพาะกับ "ก้านยาว" หนุ่มเมืองจันท์ที่มักจะแวะเวียนมาหาตาทุ่ง เพื่อขอความรู้ในด้านทำการเกษตรและเรื่องของความรักซึ่งตาทุ่งไม่เคยทำให้ก้านยาวผิดหวัง


mascot แต่ละตัวช่างน่าัรักน่าชังซะจริง ๆ เลย แต่ละตัวสื่่อความหมายได้ดีมาก ๆ หนาวปลายปีนี้คงต้องหาโอกาสแวะไปสักครั้งแล้วหล่ะ 



CREDIT: ขอบคุณข้อมูลจาก thaizest







KATEWAY




  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ครั้งแรกของการดูบอล!!!


กรี๊ดดดดดด ตั้งแต่รู้ข่าวสมาชิกรันนิ่งแมนจะมาแตะบอลนัดพิเศษที่ประเทศไทย อยากจะไปดูมาก
มากันครบทีมขนาดนี้ถ้าพลาดละแย่เลย ในเว็บแฟนเพจมีการเคลื่อนไหวกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ไปรับที่สนามบิน เอ่ออ สังขารไม่ค่อยจะอำนวย แถมไปตอนดึกอีกตะหาก ใจสู้แต่กายหยาบเริ่มหลุดล่อน คงไปนอน
ตายกลางสนามบินแหง ๆ งานนี้ขอผ่านๆ แล้ววันแถลงข่าวหล่ะ น่าสนแฮะพาราก้อนนี่เอง ว่าแล้วก็จัดแจง
โทรหาญาติสนิทมิตรสหาย ปรากฏว่าไม่มีใครอยากไปกับดิฉันเลยสักคน เลยต้องลากสังขารเหี่ยวๆไปนั่งทำงาน ตกเย็นมีโทรศัพท์เข้า น้องตัวดีที่บอกยังไง๊ยังไงก็ไม่ไป ดันโทรมาบอก ตอนนี้อยู่งานแถลงข่าวแล้ว
พี่จะมาป่าว เวนกำ ไอเราชวนซะแทบตายไม่ไป พอถึงเวลากับไปซะงั้น อินดี้จริงๆ คบยากๆ ฉันเลย เออไหนๆ
จะเลิกงานละ ไปสักหน่อยก็แล้วกัน วางสายปุ๊บ บึ่งมอไซด์ออกไปนั่ง BTS อย่างด่วน กลัวไปไม่ทันค่ะ พอไปถึงที่ อ่าว....เค้ากลับกันพอดี เป็นงั้นไปอีก T_T ทีนี้เลยตกลงกันว่า เอาหล่ะ เหลือวันพรุ่งนี้สุดท้ายละ ไปดูบอลกันเลยดีกว่า แต่ด้วยดาวความจนเข้าแทรก ทำให้ชีวิตช่วงนี้ไม่ค่อยมีเงินกับเค้า เลยได้การอุปการะจากน้องสาวสุดน่ารักที่ออกค่าตั๋วให้ อิอิ จัดแจงเตรียมการแบบไม่มีอะไรมาก ชีวิตสบายๆ เกาะคนอื่นกิน 555 เลยงานจัดที่เมืองทองธานี ไม่มีแผนการอะไรเลย ไปเรื่อยเปื่อย ตอนแรกกะไปนั่งรถตู้ที่อนุเสาวรีย์ แต่เอาไปเอามา
นั่งแท็กซี่จนถึงที่หมายเลยซะงั้นสบายเลย ค่าแท็กซี่+ค่าทางด่วน ประมาณ 300 กว่าบาทได้ สบายจริงๆ สบายกระเป๋าลุงแท็กซี่เลย จะว่าไปค่ารถแพงกว่าค่าตั๋วพวกเราซะอีกนะเนี่ย มาถึงที่หมายปุ๊บ ก็เจอกับคลื่นคน  คนเยอะมาก ๆ มีทั้งไทยทั้งเกาหลี ฟากคนเกาหลีเค้ามาเชียร์ นักกีฬาประจำชาติ นักเตะแข้งทองแดนโสม ปาร์ จีซอง จะว่าไปแล้ว คนเกาหลีค่อนข้างจะยกย่องและให้เกียรตินักกีฬาเพราะเค้าถือว่าบุคคลเหล่านี้ นำชื่อเสียงมาให้ประเทศชาติของเค้า ไม่ใช่แค่เห่อเหมือน xxx ละไว้ในฐานที่เข้าใจละกัน อ๊ะนอกเรื่องซะละ กลับมาต่อเรื่องของเราดีกว่าเน๊อะ จริง ๆ จุดประสงค์ของเราในวันนี้คือ....การมาดูรันนิ่งแมน และ Mblacq วงไอดอลชื่อดังของเกาหลี แล้วน้องเก้าด้วย ถึงจะบ้าเกาหลี แต่ก็ชอบของไทยอยู่นะค๊า หลังจากซื้อบัตรเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กำลังจะไปหาของกินซะหน่อย รองเท้าดันขาด!!!! เดือดร้อนแล้วสิ ในอิมแพคเมืองทองไม่มีรองเท้าขาย!!! ซวยเลย ต้องออกไปแถว ๆ หมู่บ้าน เดือดร้อนน้องๆต้องออกไปซื้อให้ ส่วนคนที่รองเท้าขาดอย่างฉัน นั่งกินเฟรนฟายสบายอารมณ์ 5555 สักประมาณ 10 นาทีน้องสุดที่รักกลับมาพร้อมกับนันยาง 1 คู่
เอาวะ นันยางก็นันยาง ดีกว่าเท้าเปล่า เท่ห์ชะมัด!! หลังจากได้รองเท้าแล้วเราก็ไปจัดแจงหาที่นั่ง เดินกันวนเกือบรอบสนาม ทางเข้าของเราอยู่ที่ gate13 เนื่องจากบัตร 100 บาทจึงเดินขึ้นไปในจุดที่สูงที่สุด ตอนแรกจึกว่าจะไกลมาก ๆ แต่เอาเข้าจริง อื้มม ก็มองเห็นได้ถนัดดี ไม่ไกลมากเกินไป นั่งกันสักพัก บอลก็เริ่มเตะ เพิ่งเคยมาดูที่สนามเป็นครั้งแรก เลยได้รู้ว่า ในสนามไม่มีนักพากษ์!! ไม่แน่ใจเป็นทุกสนามหรือเปล่า แต่เวลาดู TV คิดว่ามีนักพากษ์ที่สนามมาตลอดเลย ส่วนตัวก็ดูบอลไม่เป็น แต่ก็ดูลุ้นดีเวลามาแถว ๆ โกลด์ เนื่องจากเป็นบอลกระชับมิตร เลยเล่นกับแบบชิลด์ ๆ เพลิน ๆ ดูแล้วสนุกดีนะ กองเชียร์ส่งเสียงกันดังก้องสนาม ส่งเสียงเชียร์คนที่ตัวเองชอบ ก็คงจะไม่พ้น ทีมเกาหลี และ ซุปตาร์เมืองไทย ดูกำลังสนุก ๆ ก็ได้เวลาพักครึ่ง ระหว่างนี้แหละ
ได้เวลาถึงคิวของ MblaQ ซะที ทันทีที่เดินออกมาเสียงกรี๊ดดังลั่นสนามมาก ๆ พวกเค้ามีออร่าเปร่งประกายวิ้ง ๆ ดูดีกันทุกคน แม้จะเป็นกลางสนามไม่มีเวที แต่พวกเค้าก็เต็มที่กับการแสดง ทั้งโชว์เต้น โชว์ร้อง(แอบลิปซิ้งค์เพราะสนามไม่อำนวย) ไลน์การยืน เป๊ะมากกก ดูแล้วเห็นถึงความตั้งใจไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ เค้าแสดงเต็มที่ นับถือจริง ๆ ระหว่างที่ดูก็แอบดีใจนิด ๆ ได้ดู MblaQ ด้วยราคา 100 บาท คงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วแน่ ๆ เลย สองเพลงผ่านไป กลับสู่ช่วงครึ่งหลัง คราวนี้มีแต่เหล่าไอดอลลงสนามทั้งนั้นเลย ทั้งน้องเก้า เคนภูภูมิ(แอบอ้วนนิด ๆ แต่ความหล่อยังเหมือนเดิม) สมาชิกชาวรันนิ่งแมน คิม จองกุ๊ก ซอ จุงกิ และ คัง แกรี่ แม้ว่าลงสนามเพียงสามคน แต่สมาชิกรันนิ่งแมนที่เหลือ ยังคอยให้กำลังใจอยู่ข้างสนาม แถมยังเล่นกับคนที่มาชมในสนามด้วย ประทับใจจริง ๆ ค๊า




KATEWAY

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อินสนธิ์ ตำนานสุดอึด!!! กรุงเทพฯ-อิตาลี

 หลังจากเคลียร์งานที่ออฟฟิตหมดเลย เกิดอาการว่างม๊ากมาก เลยค้นหาอะไรดูเรื่องเปื่อย บังเอิญเจอข้อมูลน่าสนใจ เป็นเรื่องของ ผู้ชายคนนึงผู้มีปณิธานอันแน่วแน่ เค้าเดินทางจากกรุงเทพไปอิตาลี่ด้วย สกุตเตอร์!!! เรื่องราวของท่านน่าสนใจมากค่ะ


"อินสนธิ์ วงศ์สาม" ท่านเป็นศิลปินชาวลำพูน สำเร็จการศึกษาจากคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับรางวัลในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติหลายครั้ง (เกียรตินิยมอันดับ 2 เหรียญเงิน ประเภทภาพพิมพ์ เกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง ประเภทประติมากรรมของจิตรกรและประติมากรสมาคม 

 วันนี้ขออนุญาตินำเรื่องราวที่ท่านได้บันทึกการเดินทางมาแชร์ให้อ่านกันนะคะ(เนียนเลยช่วงนี้ไม่มีเงินเที่ยว)



 “รถเล็ก” สร้าง “เรื่องใหญ่”
16 เดือนกับอินสนธิ์ ตำนานสุดอึด!!! กรุงเทพฯ-อิตาลี

16 เดือน…บนสกู๊ตเตอร์…ไทย…ไปอิตาลี!!! ใครนะ…??? จะกล้าคิด “การใหญ่” ขนาดนี้…คำถามที่ผุดขึ้นแว๊บ…บ แรกในถึงหัวข่าวโคมลอยที่กระเด็นมาเข้าโสต ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ถูกรวบรวมผ่านเพื่อนพ้องในวงการณ์ที่คอยให้การสนับสนัน 2-3 สัปดาห์ ภาพเบลอๆ เริ่มปรับชัดหลังได้สนทนายืนยันถึงที่มาต้นเรื่อง “ผม” แพ็คกระเป๋าเล็กๆ พร้อมเพื่อนที่รู้คอที่ตามสมทบอีก 2-3 คน ขึ้นเหนือหวังตามรื้อเจ้าของตำนาน ที่ “สื่อสยาม” เริ่มให้ความสนในฐานะศิลปินแห่งชาติที่มีวัติยาวเหยียด…ด ซึ่งถ้อยแถลงในนั้นดันโดนใจเราตรงที่…เป็นการเดินทางข้ามโลกด้วยรถ…แล มฯ…!?!?!

“ผม” ยิงคำถามเดียว แต่กลับได้รับคำตอบกลับมาเป็นชุด…ฟังระรื่น…!?!?!

ชีวิต วัยเด็กผมไม่ต่างจากเด็กต่างจังหวัดทั่วไป “พ่อ” ผมเป็นผู้จุดประกายความเป็นศิลปินให้ตั้งแต่วัยเยาว์ จะเรียกว่าท่านเป็นศิลปินของท้องถิ่นใน อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ก็ว่าได้ ท่านรักงานด้านหัตถกรรม งานที่คุ้นตาของผมเป็นงานออกแบบเครื่องเงินแบบท้องถิ่น และยังชอบเรื่องโหราศาสตร์ ท่านเคยให้ผมวาดภาพ 12 นักสัตว์ที่ใช้ประกอบภาพร่างในปฏิทินเกี่ยวกับการพยากรณ์ ผมมีโอกาสได้ช่วยงานด้านหัตถกรรมเกี่ยวกับประติมากรรม งานไม้ แกะสลัก และเครื่องเซรามิค…หลังจากที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลาย ผมอยากจะเรียนทางด้านศิลปะ แต่กลับไม่มีแนวทาง กระทั่งวันหนึ่งพบกับรุ่นพี่ที่ชื่อ ทวี เขาศึกษาที่ศิลปากรในกรุงเทพฯ เขาแนะให้ผมเข้ากรุงเทพฯ เรียนที่โรงานเตรียมศิลป์ ก่อนที่จะเข้าศิลปากรต่อไป…ผมไม่รู้จักกรุงเทพฯ ตอนนั้นอายุ 18 ปี (2497) ผมเห็นอนาคตในกรุงเทพฯ และตั้งใจที่จะเป็นศิลปินอย่างที่ต้องการ ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะศึกษา (เตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร) และโชคดีที่ได้เรียนกับท่าน อาจารย์ศิลป์ พีระศรี (นามเดิม ซี. เฟโรจี ชาวอิตาเลียน/ 2436-2505) ผมเริ่มที่จะเข้ามารับรู้ถึงงานศิลปะอย่างจริงจังและหล่อหลอมให้ผมมีความชอบ ที่ไม่อาจถอนได้แล้ว หลังจากนั้น 2 ปี ผม…เข้าเรียนที่ศิลปากร และมีโอกาศได้ใกล้ชิดกับท่าน อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ตลอด 5 ปีเต็ม ผมเรียนในสาขาจิตรกรรมและประติมากรรม

2504 หลังจากจบการศึกษา ผมได้รับเงิน 800 บาทที่ได้จาก Bangkok Art Center ผมใช้เงินเพื่อเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และสร้างงานศิลปะตามที่ต่างๆ ได้เรียนรู้ถึงวิถีทางการดำเนินชีวิตในแง่ต่างๆ…หลังจากนั้นก็เกิดความคิด ขึ้นมาในหัวว่าอยากที่จะเดินทางรอบโลก…ผมอยากไปที่ฟลอเรนฅ์ อิตาลี สถานที่เกิดท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี…แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินทางอย่างไรดี!!!

ผม เจอกับ สุพัฒน์ การะศิลป์ เขาทำงานที่ ททท.ในงานแสดงศิลปะเราพูดถึงการเดินทางรอบโลก เขาอยากไปกับผม แต่เราไม่มีเงิน เขามีรถแต่ทว่าก็เก่ากลัวว่าจะไปไม่รอด อยากใช้รถใหม่แต่ก็ราคาสูงมาก…สุดท้ายหลังได้รับการแนะนำจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เราตกลงจะใช้รถ Scooter เราจึงทำโครงการเสนอที่ Berlie Jucker Company (ดีลเลอร์ของแลมเบร็ตต้า) เพื่อของรับการสนับสนุน ซึ่งผู้จัดการเขาป็นเพื่อนกับท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เราบอกเขาว่าจะเดินทางไปอิตาลีโดยใช้ระยะเวลา 3 เดือน…หลังจากนั้นเขาก็ให้รถ Lambretta TV175 Serie II เรามา 1 คัน แต่เราต้องการใช้รถ 2 คัน เลยต้องซื้อเพิ่มอีก 1 คัน แต่ก็ยังดีที่ซื่อได้ในครึ่งราคา เราไม่มีความรู้เชิงช่างก็ต้องให้แมคคานิคที่นี่สอนเกี่ยวกับการซ่อมบำรุง เอาชนิดที่เป็นเร็วๆ และแนวทางที่ง่ายที่สุด หลังจากได้รถอย่างที่ต้องการ ก็ถึงคราวต้องหาค่าใช้จ่าย เราได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และเพื่อนๆ ที่ศิลปากรที่อยากให้เราสร้างฝันให้สำเร็จทั้งสิ้น 30,000 บาท และจาก Esso อีก 8,000 บาท…แล้วเราก็พร้อมเดินทาง!!!

เรา ทำการดัดแปลงรถ Scooter นั้นเสียใหม่เพื่อให้เหมาะกับการเดินทาง มันจะเป็นเสมือนบ้านให้เราตลอดเส้นทาง อุปกรณ์ทำอาการง่ายๆ ถุงนอน และเสื้อผ้าอีกไม่กี่ตัวถูกติดตั้งที่ด้านหน้า/หลัง ส่วนด้านข้างนั้นเป็นที่เก็บงานศิลป์ที่พับม้วนกว่า 200 ภาพในกล่องเก็บข้างละ 6 กล่องและอุปกรณ์วาดภาพที่ถูกแพคกันน้ำอย่างดีในกระเป๋าหนัง กับอุปกรณ์ซ่อมบำรุงเล็กน้อย โดยเฉพาะหัวเทียน

2505 หลังจากการเสียชีวิตของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ระหว่างพิธีศพผมบอกกับท่านว่าผมจะเดินทางไปบ้านท่านและจะสร้างฝันนั้นให้ เป็นจริง…หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ผมก็ออกเดินทางจากประตูน้ำ…การผจญภัยของผมเริ่มขึ้นแล้ว!!!…เราออก จากกรุงเทพฯ มุ่งลงใต้จนสิ้นสุดการเดินทางถนนเรียบๆ ที่ปีนัง เรามาช้าไปเพียงอึดใจ เรื่องออกไปแล้ว ต้องรอเรือข้ามฝากเที่ยวหน้าถึง 1 เดือน เราไม่มีทางเลือกเราต้อง…รอ มันเป็นความหน้าตื่นตาในต่างแดนครั้งแรก เรารู้ว่ามันสนุกมากและก็ใช้เงินหมดไปอย่างไม่มีแบบแผน เราเป็นกำวลอีกครั้งจนคิดว่าจะกลับบ้าน ทว่าก็นึกถึงเพื่อนๆ ครอบครัว ทุกคนที่เกี่ยวข้องที่ฝากความหวัง เราจึงต้องทำทุกวิธีทางเพื่อให้เดินทางต่อไป เราสร้างงาน และก็ขายงานได้บ้าง พอทีจะมีเงินที่จะใช้เดินทางต่อ…ที่สุดเรือก็มา เราเดินทางขึ้นฝั่งที่ Calcata อินเดีย

ในเดือนมิถุยายน 2505 มันน่าตื่นตาอีกครั้ง จำได้ว่า ผมขับรถ Scooter ทั้งวันกระทั่งค่ำเพื่อชมสถานที่ก่อสร้างที่สวยงามทั่วเมือง ก่อนเข้าพักที่โบสถ์ฮินดู เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เราใข้เวลาอยู่ใน Calcata อีก 2-3 วัน ก็เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ สุพัฒน์ ต้องการกลับบ้าน เขาไม่สนุกกับการเดินทางแล้ว…เขาบอก บางทีเขาอาจคิดถึงลูกเล็กๆ ทั้ง 2 คนที่อยู่กรุงเทพฯ เขาล้มเลิกความฝันและขาย Scooter พร้อมกับบินกลับกรุงเทพฯ ปล่อยให้การเดินทางเป็นของผมแต่เพียงลำพัง!!! ผมเสียใจมากแต่ก็มุ่งหน้าทำความฝันให้สำเร็จ ผมขับ Scooter มุ่งหน้าสู่ Delhi อย่างสันโดษ…ที่นี่ผมมีโอกาสพบปะสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเจอ เนื่องจากไม่มีเงินจึงต้องอาศัยพักตามสถานที่ต่างๆ วัด โบสถ์ฮินดู สถานที่แสดงงานศิลป์ สถานฑูตไทย ที่นี่ผมเริ่มได้เพื่อน ได้ที่พัก ได้อาหาร ผมเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกแล้ว

อินเดีย เป็นเมืองที่น่าอยู่ มีขนบธรรมเนียมที่ดีงาม เราเคยรับรู้ผ่านทางตัวหนังสือเท่านั้น ผมมีโอกาสจริงได้เจอสถานที่ที่ประสูตรของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า Bodh-Gaya…ผมใช้เวลาในอินเดียถึง 2 เดือน ผมรักที่นี่ จนทำได้ได้ยากที่จะจากมา ผมมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่ Lahore มันเป็นประสบการณ์ใหม่ในดินแดนของมุสลิม แต่ผมไม่มีเงิน ผมต้องขายงานที่สร้างขึ้นในอินเดียบางส่วน…ผมโชคดี!!! งานผมขายได้ ผมมีทุนรอนที่จะเดินหน้าต่อไป…ระหว่างเส้นทางผมอยากที่จะเปิดแสดงงานไปด้วย บางที่ก็ได้รับการตอบสนอง บางที่ก็ต้องแสดงกันข้างๆ รถนี่แหละ บ้างก็ได้รับความสนใจ บ้างก็ต้องผิดหวัง แต่ก็ไม่สิ้นหนทางเสียทีเดียว ในเดือนตุลาคมของปี 2505 ผมมีโอกาสได้แสดงงานใน Karachi หลังได้รับการประสานงานจากเพื่อนใน Lahore ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ...

ที่ Karachi ผมได้เจอ ปรีชา บางน้อย เพื่อรุ่นพี่ที่ศิลปากร เขาฝากฝังผมผ่านจดหมายไปให้เพื่อนของเขาในสถานที่ต่างๆ ก่อนมุ่งหน้าเข้าสู้ดินแดนตะวันออกกลางนาม Teheran ประเทศอิหร่านในเดือนธันวาคม 2505 อากาศในทะเลทรายแปรปรวนมากระหว่างกลางวัน/ กลางคืน มันเหมือนอยู่กันคนละโลก อย่างไรเสียมันเป็นสภาวะที่ผมต้องเผชิญและต้องผ่านมันให้ได้ด้วย ใน Teheran ผมไม่มีเงินเลยต้องขอความช่วยเหลือจากองค์การ UNESCO และได้รับการช่วยเหลือโดยเข้าทำงานที่การท่องเที่ยวของอิหร่าน ผมได้รับงานออกแบบโปรเตอร์โปรโมทการท่องเที่ยว ผมเสนอด้วยงานภาพพิมพ์ขนานใหญ่ซึ่งเขาเองก็พอใจมาก อยากให้ผมนำเสนองานรูปแบบอื่นๆ อีกหากต้องการ แต่ผมก็ต้องปฏิเสธเพราะยังคงรักษาคำมั่นที่จะต้องเดินทางให้บรรลุวัตถุ ประสงค์…ผมกับปรีชาได้แสดงงานในแกเลอรี่ใน Teheran กับเพื่อนอีก 2-3 คน งานของเราขายได้ เริ่มมีคนรู้จัก เราเริ่มที่จะมีเงินใช้สอย แต่สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจแยกทาง ปรีชามุ่งหน้าด้วยรถไฟสู่เยอรมนี ส่วนผมกับ Scooter คู่ใจต้องมุ่งหน้าสู่ Istanbul ประเทศตุรกี


ที่ ตุรกี…ผมเลือกที่จะเดินทางในเวลากลางคืนเนื่องจากสภาพอากาศไม่ร้อนอบอ้าว และก็จะพบกับเมืองใหม่ๆ ในเช้าของทุกวัน ผมไม่รู้จักเส้นทางดีมากนัก จึงอาศัยวิ่งตามเส้นทางของพวกรถบรรทุก ที่นี่ภาวะเดิมๆ นั้นกลับมารุมเร้าเฉกเช่นเดิม ผมไม่มีเงิน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมหิวแต่กลับไม่มีอาหารอะไรเหลืออยู่เลย…ผมโชคดี ได้เจอกับสาวตุรกีคนหนึ่ง เธอ…สนใจงานผม เธอ…ไม่ได้ซื้องานผม เธอ…พาผมไปกินอาหารที่ร้านเพื่อนของเธอ เธอ…ยังเชื่อมั่นในแนวทางของที่ผมทำ ซ้ำยังประสานงานให้ผมได้แสดงงานในเมือง เรายุติความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อน ณ ตรงนั้น ก่อนพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่…แต่กลับรักษามันได้เพียง 2 เดือน จากเหตุผลที่พันธนาการต่อกับการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด

ผม…ถือ ใบขับขี่สากล กับหนังสือรับรอง พร้อมใบผ่านแดนที่ออกให้จากกรมตำรวจและราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย (รยสธ.) ผมและ Scooter คู่ชีพจะเดินทางไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ แต่บางที่กลับไม่ได้รับความสะดวก เนื่องจากเขาเองก็ไม่เชื่อว่าผมกับ Scooter คันนี้จะเดินทางได้จริงๆ มันเป็นไปไม่ได้ ต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียด อย่างในตุรกีที่เส้นทางเต็มไปด้วยหิมะ ผมต้องรอใบผ่านแดนนานมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่เชื่อว่าผมจะเดินทางข้ามทวีปจากเอเซียมายุโรปได้ด้วย Scooter คันเล็กๆ นี้…แต่สุดท้ายก็ต้องยอมหลังจากหลายฝ่ายต่างให้ข้อมูลสนับสนุน

สวรรค์ โปรดอีกครั้งหลังจากเดินทางมาถึงกลางตุรกี ผมได้รับเงินจาก Esso อีก 200 ดอลลาร์ งานผมที่กรุงเทพฯ ขายได้…ผมมุ่งหน้าสู่ Athen ประเทศกรีซ ประเทศนี้สวยมาก อากาศดี น้ำทะเลสีฟ้า ผู้คนก็ดูเป็นมิตร ผมหลงรักกรีซเข้าอีกแล้ว ผมขับ Scooter ชมความงานทั้งวัน ทั้งคืน และก็วาดภาพจากสถานที่แห่งนี้มากด้วย ผมอยู่ที่นี่ 2 เดือน ก่อนที่จะได้มีโอกาสแสดงงานอีกครั้ง ที่งานแสดงผมพบเพื่อนศิลปินชาวนิวยอร์คที่ชื่อ Alexander ซึ่งอยู่ระหว่างการท่องเที่ยวหลังจบการศึกษา เขาสนใจงานผมและต้องการที่จะได้เป็นเจ้าของ…เขาไม่มีเงิน แต่ผมก็ขายให้ไปในราคาที่ถูกมากๆ และก็ให้ผ่อนเป็นรายเดือนอีกด้วย เราสนทนากันถูกคอมาก เราแลกเปลี่ยนทัศนะด้านงานศิลป์ เราตัดสินใจร่วมทริปกันสู่เกาะ Corfu ทางตอนใต้ของกรีซ เรามีช่วงเวลาที่ดีซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปเดือนที่ 6 ผมใช้ชีวิตแบบชาวประมง มันเป็นวัตถุดิบอย่างดีในการสร้างงานศิลป์ ผมยังจดจำกลิ่นอายของคาวปลาและวิถีทางที่เรียบง่าย สงบนิ่ง มันเป็นแบบฉบับที่เราไม่เคยเจอ ที่นี่เสมือนบ้านอีกหลังที่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจ

Lambretta คันเล็กๆ ของผมมันก็สุดยอด เราร่วมทางกันมาตั้งแต่ต้นจบ ไม่มีเกเรให้ต้องรำคาญใจ มีเฉพาะการแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ที่พอรับมือ ครั้งหนึ่งผมนำ Scooter เข้าเช็คเครื่องยนต์ในอุ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ผมบอกไม่มีเงินให้เขาหรอก เขากลับบอกว่าเขาก็ไม่ต้องการเงินเช่นกัน ผมจึงให้งานศิลป์ของผมแทน มันเป็นความทรงจำที่ดี แถมยังได้อาหาร ที่พัก และการสอนภาษาให้อีกด้วย…ผมนำ Scooter ลงเรือเฟอร์รี่ข้ามฝากจาก Corfu มุ่งหน้า Brindisi เมืองท่าสำคัญทางตอนใต้ของอิตาลี…ผม…ทำถึงแผ่นดินเกิดของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี แล้ว…ฝันของผมเป็นจริง!!! ผมมุ่งหน้าเข้า Rome ในเดือนสิงหาคม 2506 ซึ่งมันตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ผมขับ Scooter ไปทั่วเมือง…ที่นี่ผมพบ ดำรงค์ เพื่อนคนไทยที่อยู่ที่นี่มานานพอควร เราตัดสินใจร่วมทริปกันด้วย Scooter ของผม เราเดินทางไปยังบ้านเกิดของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ Geovenni ใกล้ๆ กับ Florence…เราถึงบ้านท่านอาจารย์ในเช้าตรู่ ทว่ากลับไม่มีใครอยู่ที่บ้าน เรานั่งรอที่หน้าบ้านกว่าชั่วโมง ในใจก็ระลึกถึงท่าน บอกท่านว่า “ผม”…พบบ้านท่านแล้ว !!!

ที่ Florence ผมตั้งใจจะแสดงงานศิลป์เพื่อบอกเล่าให้ผู้คนรับรู้ว่า ผมเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เกจิศิลปินที่เกิดที่เมืองนี้…ฝันผมเป็นจริง!!! ผมและดำรงค์ ได้แสดงงานใน Numero Galley ในฟลอเรนซ์…เรากลับในเดือนพฤศจิกายน 2506 ดำรงค์ต้องการอยู่ต่อ เขาอยากที่จะหาที่เรียนศิลปะที่นี่ ส่วนผมที่ยังไม่อยากเรียนกลับเกิดแนวคิดใหม่ ฝันผมไปไกลถึงยุโรปแล้ว ผมต้องการเดินทางต่อจึงพา Scooter คู่ชีพเข้ารับการช่วยเหลือที่โรงงานแม่ของ Lambretta ในโรมหวังจะให้เขาเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ใหม่ เพราะอาการเสียงดังที่เครื่องยนต์มันน่าวิตก ซึ่งผมคิดว่ากว่า 20,000 กม. เครื่องยนต์มันคงไปไม่ไหวแล้ว…ผมได้รับการปฏิเสธ!!! จึงต้องจำใจละทิ้งเจ้า Scooter คู่ชีพไว้ที่สถานฑูตไทยในโรม เป็นการปิดฉากการเดินทางถึง 16 เดือนบนอานรถจักรยานยนต์อย่างเป็นทางการ “ผม” มุ่งหน้าโดยรถไปสู่ Vienna ประเทศฝรั่งเศส ใช้ชีวิตตามวิธีทางเฉกศิลปินอิสระ ที่หวังเพียงสร้างงานศิลป์ควบคู่กับการดำรงค์ชีวิตในดินแดนหลากอารยะธรรม

12 ปีในต่างแดน…ตัดสินใจกลับลำพูนในปี 2517 ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สร้างสรรค์งานศิลป์และร่วมกิจกรรมเพื่อท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง และได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) ประจำปี 2542 นอกเหนือจากนั้นท่านอาจาร์ย์อินสนธิ์และภรรยา ได้ร่วมกันก่อตั้ง “มูลนิธิอุทยานธรรมะและหอศิลป์” จ.ลำพูน (องค์กรร่วมอย่างเป็นทางการของโครงการวัฒนธรรมเพื่อสันติศึกษาของยูเนสโก) เพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้คนได้พบปะ และเปลี่ยนประสบการณ์ พัฒนาจิตสำนึกที่ดีเพื่อท้องถิ่น ในรูปแบบของการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เชิงอนุรักษ์…

ผมเคยกลับ มาตามหา Scooter ที่อิตาลีถึง 2 ครั้ง ที่สถานฑูตเองก็ไม่มีใครทราบเรื่อง น่าเสียดายที่เพื่อน “คันนี้” ต้องอันตรธานไป เราคงทิ้งเวลาให้ล่วงเลยไปนาน สถานฑูตเองก็มีการบูรณะก่อสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นใหม่ สำหรับ “เขา” มันก็แค่…ซากรถเก่าๆ ที่ดูเกะกะ สำหรับ “ผม” มันมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น…ซึ่งเราทั้งคู่รู้ดี !!! 




CREDIT: http://atcloud.com/stories/51277
               http://www.finearts.cmu.ac.th/3784483434





KATEWAY

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เดินเท้าลั๊นลา......ตามหาตุ๊กตาวัยเด็ก!!!!


เคยมีคำถามในใจบ้างไหม ว่าความสุขคืออะไร สำหรับฉัน ความสุขมักเปลี่ยนไปเสมอ ๆ วันไหนหิว ถ้าได้กินอาหารอร่อย ๆ คงมีความสุขเน๊อะ.....วันไหนเงินหมด ถ้ามีเงินมากองเป็นพะเนินคงมีความสุขมาก....ุถ้าวันไหนขี้เกียจทำงาน ถ้าได้ไปเที่ยวคงมีความสุขสุด ๆ ไปเลย ลองมาย้อนคิดดูแล้ว....มันเป็นความสุข หรือความต้องการกันแน่หล่ะเนี่ย!!!~ ตัดเรื่องความสุขออกไปก่อนละกัน ฉันคงอธิบายเรื่องความต้องการได้เกว่าเป็นแน่แท้ เมื่อตอนเด็ก ๆ เด็กผู้หญิงทุกคนรวมถึงฉันด้วย ความต้องการอันสูงสุดคือ การได้ครอบครองตุ๊กตาน่ารัก ๆ สักตัว ฉันจำได้ว่า อยากได้ตุ๊กตาบาร์บี้มากกกก แต่เนื่องจากฐานะทางบ้านมีอันจะกิน(น้อย) เลยได้ตุ๊กตาตลาดนัดตัวละ 49 บาทมาเล่นแทน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ใช่ตัวที่อยากได้อยู่ดีแหละ ฉันได้แต่มองเพื่อนผู้มีฐานะอันร่ำรวย เล่นตุ๊กตาบาร์บี้อย่างสนุกสนาน ฉันได้แต่มองตาปริบ ๆ กำลังคิดอยู่ใช่มั้ยล๊าา ว่าฉันน่าสงสารเหมือนนางเอกผู้ดีตกยาก คุณคิดผิดแล้วแหละ!!! ฉันนั่งรอแล้วรอเล่า มันก็ไม่ชวนฉันเล่นด้วย แถมยังยั่วด้วยการเอาชุดนู้นชุดนี้มาใส่ให้น้องตุ๊กตา ฉันเลยคว้าน้องบาร์บี้มาหั่นผมทิ้งซะ!!! ยิ่งได้เห็นเจ้าของทำหน้าช๊อค ฉันยิ่งยิ้มกริ่ม เดินกลับบ้านด้วยความสบายใจ (อีนางมารร้ายยย) เอาหล่ะ นางมารร้ายอย่างฉันจะพาตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งด้วย bangkok doll งงกันหล่ะสิ??? ว่าคืออะไร ทางแมชชีนหรือเปล่า....หรือจะเป็นนาฬิกาย้อนเวลาแบบใน MIB no no no!!! bangkok doll คือ พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตานั่นเอง สถานที่นี้อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง อยู่ในหลีบแถวซอยหมอเหล็งค๊า วิธีไปก็ง่ายม๊ากมาก นั่นคือ นั่งรถโดยสารประจำทางนั่นเอง ถ้าจะให้ดีสไตล์เคทเวย์ต้องรถเมล์ฟรีเท่านั้น(โถ่แม่คุ๊ณณณ จะประหยัดไปไหน!!) นั่งสายไหนก็ได้ที่ผ่านซอยรางน้ำ แล้วเดินเท้าหรือจะนั่งวินมอเตอร์ไซด์ก็ได้เน้ออ นั่งไปซอยหมอเหล็งบอกเฮียเค้าว่าไป พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา หลังจากเดินมาเกือบจะเหนื่อยก็เจอเข้ากับ บ้านเลขที่ บ้านเลขที่ 85 bangkok doll ชมรมบุญยฤทธิ์ เป็นสถานที่ที่มีพิพิธภัณฑ์อยู่ในบ้าน พอถึงที่หมายก็เดินเข้าไปแบบงง ๆ ก็มาคนเดียวอ่ะเน๊อะ มึน ๆ นิดหน่อย เนื่องจากไม่มีประชาสัมพันธ์หรือผู้ดูแลอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ เลย ต้องนั่งรอข้างนอกก่อน สักพักมีคุณลุงเดินมาเลยถามแบบมึนๆ เข้าไปได้เลยมั้ยคะ??? เพราะเห็นปิดไฟมืดเลยไม่กล้าเ้ข้าไป ลุงแกบอก เข้าไปได้เลยครับ ไอเราก็เดินเข้าไป เอ่ออ คืออ มันมืดง่าา ต้องเปิดไฟตรงไหนก็ไม่รู้ เดินเข้าไปอีกนิดเจอกับคุณลุงอีกคนนั่งอยู่ในห้อง เลยถามว่าเปิดหรือเปล่าคะ???~ คุณลุงแกยิ้มบอกดูได้เลยหนู เราก็เลยออกมาดูแบบมืด ๆ 555 ก็ลุงเล่นปิดไฟซะ ก็ทำตัวไม่ค่อยจะถวด(ถูก)เลยยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แถว ๆ ข้างหน้า สักพักลุงแกเปิดไฟ โอ้วว ค่อยยังชั่วหน่อย


 มาดูประวัติของพิพิธภัณฑ์นี้กันบ้าง นับอายุของพิพิธภัณฑ์นี้ มีอายุมากว่า 56 ปีแล้วนะเอ้ออ ผู้ก่อตั้งคือคุณหญิงทองก้อน จันทวิมล ด้วยใจรักในการทำตุ๊กตา จึงเดินทางไปเรียนที่โรงเรียน โอชาราดอลล์ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ป่น เพื่อประดิษฐ์ตุ๊กตาของไทยออกมาเผยแพร่ ตุ๊กตาของที่นี่เป็นที่รู้จักกันดีของนานาชาติ ความสวยงามอ่อนช้อยแบบไทย จึงเป็นที่รู้จักของนักสะสมทั้งหลายทั่วโลก เคยได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดตุ๊กตาพื้นเมืองนานาชาติครั้งที่ 3 ประจำปี พ.ศ. 2521 ที่ประเทศโปแลนด์ นอกจากจะเป็นสถานที่จัดแสดงตุ๊กตาแล้ว ยังเป็นโรงงานผลิดตุ๊กตาด้วยมือทุกขั้นตอน โดยใช้วัสดุภายในประเทศเป็นหลัก ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างแท้จริง ตุ๊กตาที่ผลิตออกมานั้นมีหลากหลายชนิดทีเดียวเลย

เช่น ตุ๊กตาโขน ตุ๊กตาชนเผ่าต่าง ๆ ตุ๊กตาที่แสดงถึงชีวิตชาวชนบทของไทย ตลอดจนหัวโขนย่อส่วน นอกจากนี้แล้ว ที่ภายในโรงงาน ยังเป็นที่จัดแสดงตุ๊กตาที่ได้มาจากทั่วโลกจำนวนประมาณ 400 ตัว เป็นผลมาจากการสะสมของคุณหญิงนั่นเอง ทำให้ที่นี่มีตุ๊กตาเยอะมาก ๆๆ

เอาหล่ะ หลังจากที่เข้ามาอยู่ในความมืด ความรู้สึกแรก....ดิฉันสัมผัสได้!!!! ช่างเหมือนห้องหุ่นซะจริงๆ
ตุ๊กตาเต็มไปหมดจัดวางอย่างเป็นระเบียบมากก แอบวังเวงเล็กน้อยถึงปานกลางนะคะ เพราะไปคนเดียว
โชว์ออฟเลย แต่พอเิปิดไฟแล้ว โอ่ค่อยยังชั่วหน่อย บรรยากาศเปลี่ยนไปทันทีทันใด ตัวพิพิธภัณฑ์ไ่ม่ใหญ่โตมากนัก ขนาด 2ห้องได้ 

 
ตุ๊กตาที่นี่มีทุกแบบทุกสไตล์จริง ๆ ค่ะ ทางซ้ายมือตรงข้ามประตูนั้นจะมีตุ๊กตานางรำ ซึ่งจัดท่าทางเป็นท่ารำต่าง ๆ ตามนาฏศิลป์ไทย แถมมีป้ายบอกไว้ด้วยว่าท่ารำนี้ชื่ออะไร ดูไปได้ความรู้ไปด้วยค่ะ ถ้าเป็นกลางคืนจุดนี้จะแอบหลอนนิดหน่อย บางทีแอบคิดไปว่า ถ้าหันหน้าไปแล้วหันกลับมาอีกที จะเจอนางรำเปลี่ยนท่ารำมั้ยน๊อออ ต่อมาขวามือจะเป็นตู้โชว์ขนาดใหญ่ค่ะ ซึ่งจะมีโชว์ตุ๊กตาทุกประเภท มีทั้งตุ๊กตาที่แต่งตัวและแสดงท่าทางการละเล่นของไทย ชุดประจำชาติ และชุดนานาชาติ แสดงถึงเอกลักษณ์ของประเทศนั้น ๆ  ทำออกมาได้สวยงามมาก ตรงกลางจะมีการจำลองวิถีชีวิตของชาวไทยในอดีต โดยส่วนตัวชอบเกือบทุกประเภทที่ทำออกมาเลยค่ะ ดูมีเอกลักษณ์มีชีวิีตชีวา







หลาย ๆ คนมองแล้วอาจจะดูว่าน่ากลัวเหมือนที่ฉันคิดในตอนแรก แต่หากได้มองดี ๆ แล้ว เราจะมองเห็นศิลปะอันอ่อนช้อยปราณีตแสดงถึงความตั้งใจของคนทำ ฉะนั้นแล้ว เวลามองอะไรหากมองแต่เปลือกนอก เราจะพลาดอะไรหลาย  ๆ อย่างในชีวิตไปนะคะ วันนี้ขอลาไปกับภาพตุ๊กตาเหล่านี้ ครั้งหน้าจะไปที่ไหนนั้น ติดตามกันต่อนะค๊าา



 
คลิกดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ Gallery นะคะ





KatewaY

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เขียวชะอุ่มในห้างสรรพสินค้า!!!!

มาต่อจากคราวที่แล้ว หลังจากเล่นน้ำจนอิ่มหนำสำราญน้ำคอลลีนกันไปแล้ว ตอนเดินเข้าห้างมาแอบเห็นว่ามีงาน พฤกษาสยามด้วย อยู่ชั้นเดียวกันซะด้วย เห็นทีคงต้องแวะสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคงเสียเที่ยวแย่เลย ดังนั้นพวกเราทั้งหมดพาร่างคล้ำแดดเดินเข้างานไปแบบเนียน ๆ ด้านทางเข้าทำได้สวยงามมากทีเดียว ประหนึ่งกำลังจะเข้าสู่โลกแห่งป่าพิศวง


ตั้งแต่ทางเข้างานไปจนถึงในงานการจัดวางองค์ประกอบต่าง  ๆ เริสมากค่ะ ดูชุ่มชื่นเขียวชะอุ่มตลอดทางแถมมีมุมสวย ๆ ไว้ให้ถ่ายภาพด้วยหล่ะ จัดกันไปคนละภาพสองภาพ....หน้างานมีจุดให้แลกต้นไม้ สิทธิพิเศษสำหรับคนมี mcard เท่านั้นนะจ๊ะ 1 ใบ ต่อ 1 ต้น หลังจากไปมุงดูคนแลกต้นไม้กันแล้ว(แบบว่าอยากมีส่วนร่วม)ทางขวามือนั้นเป็นทางเข้าภายในงาน.....เขียวชะอุ่มไปทั้งงานจริง ๆ ค่ะ มีต้นไม้นานาัพันธุ์ให้ดู ไม่ใช่แต่ให้ดูผ่าน ๆ ไปนะ ยังมีป้ายบอกรายละเอียด สรรพคุณของแต่ละต้นเอาไว้ด้วย


 นอกจากนี้ยังมีการจัดซุ้มดอกไม้ไว้ตามรอบ ๆ ริมทางเดิน เพื่อเอาไว้ถ่ายภาพโดยเฉพาะ แต่ละซุ้มจัดได้งดงามละลานตาด้วยดอกนานาพันธุ์ ตรงกลางงานจะมีพรรณไม้ประกวดต่าง ๆ แต่ละกระถางสวยไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียวหล่ะ เห็นแล้วอยากหยิบไปสักสองสามกระถาง แต่เกรงว่า รปภ จะมาเยีอน เลยยืนดูเฉยๆจะดีกว่า



 นอกจากจะมีพรรณไม้ให้ชมแล้ว ยังมีการ work shop การจัดดอกไม้ด้วย อ่าฮ๊าา ไม่ธรรมดา ๆ แต่งานนี้ฉันขอผ่านหล่ะค่ะ ไม่ถนัดเรื่องนี้เอาซะเลย เกรงจะไปทำดอกไม้เค้าช้ำเปล่า ๆ....จุดไฮไลท์ของงานนอกจากพรรณไม้ต่าง ๆ แล้ว ยังมีเซอร์ไพรส์ตรงจุดให้นมแพะ!!! จุดนี้คงจะมุงดูเยอะเป็นพิเศษ มีแพะและแกะทั้งตัวเล็กตัวกลาง แย่งกันมากินนมที่ขายกันขวดละ 20 บาท ดูแพะเพลิน ๆ เจริญตา มีทั้งกำัลังนอน เดินไปเดินมา กินนม แล้วก็ยังมีการแสดงให้ดูด้วย บางตัวกำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยการเอาเขาบนหัวชนกัน!!!





งานนี้ถือว่าคุ้มจริง ๆ เข้าฟรี ได้ชมพรรณไม้ฟรี ไม่ต้องไปไำกลถึงป่าเขาลำเนาไพร ได้สัมผัสแพะและแกะแบบใกล้ชิดยิ่งกว่าไปสวนสัตว์  เจริญตาแถมอิ่มเอมใจ เป็นไม่กี่นาทีที่รู้สึกหลุดพ้นจากสิ่งแวดล้อมในเมือง ได้ใกล้ชิดกึ่งธรรมชาติทำให้รู้สึกสดชื่นปลอดโป่งได้ในเวลาสั้น แค่บางครั้งยอมสละเวลาเพียงน้อยนิด เพื่อได้เดินทางไปในที่ที่ต่างออกไป ก็เหมือนกับว่า...เราได้ไปในโลกใบใหม่ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน ในโลกนี้ยังมีอะไรอีกเยอะแยะที่เรายังไม่เคยมอง เปิดตาเปิดใจคุณให้กว้าง แล้วจะพบสิ่งใหม่ ๆที่อยู่รอบตัวคุณ......







ปล. ภาพเซ็ตนี้ไม่ค่อยชัดมาก ๆ ยังมีภาพสวยๆอีกเยอะที่คุณยังไม่ไ้ด้เห็น คลิกเข้าไปดูได้ใน Gallery ค่ะ
KatewaY

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สะพายเป้....เทสวนน้ำ!!!!


อากาศร้อนเหลือเกิน ร้อนอะไรเช่นนี้ ยิ่งได้ดูประกาศจาก TV รายงานว่า ในวันเสาร์และอาทิตย์นี้จะเป็นวันที่อากาศร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตายค่ะตาย ร้อนแบบนี้อยู่บ้านคงเฉาตายเป็นแน่แท้ ว่าแล้วก็ชวนผองเพื่อน พี่น้อง ไปหาที่คลายร้อนกัน หลังจากประชุมกันอยู่นานสองนาน ตกลงกันว่าเราไปว่ายกันกันเถอะ!! เป้าหมายของเมนหลักวันนี้คือการว่ายน้ำ สถานที่เป็นเดอะมอลล์บางกะปิ จะไปแบบธรรมดามันก็ไม่สมฐานะอันจะมีจะกิน(น้อย)ของเรา ฉะนั้นแล้วทริปนี้เราจะไปแบบแบ็คแพ็คกัน!!!! เฮ๊ยย ตลกหน่าไปแบ็คแพ็คที่สวนน้ำเนี่ยนะ!! คนบ้าที่ไหนเค้าทำกัน...ก็ฉันนี่แหละ 5555 จัดการแบบแผนกันเรียบร้อยแล้วตกลงกันว่า 9 โมงจะเริ่มตื่นมาทำกับข้าว ไปแบบแบ็คแพ็คเราก็ต้องเอากับข้าวกับปลาไปกินกันเองซี้ จะซื้อให้เสียเงินเสียทองทำไม เนื่องด้วยผู้โดยสารร่วมเดินทางของเราเป็นผู้ใหญ่ 3 เด็กที่กินเก่งอีก 2 คน เมนูจึงออกมาเป็นเช่นนี้...มาม่าผัดใส่ไข่ 1 กล่อง หมูทอด 15 ชิ้น 1 กล่อง ไข่ดาว 5 ใบ กิมจิ 1 กล่องเล็ก และข้าวกล่องใหญ่ ๆ 1 กล่อง หลังจากทำอะไรต่อมิอะไรเรีียบร้อยแล้วก็เริ่มออกเดินทางกันได้เลยย หลังจากคำนวณราคาค่าโดยสาร กับข้าวของพะรุงพะรังราวก็ไปขึ้นเขาก็ไม่ปาน เลยตกลงกันว่าเรานั่งแท็กซี่ไปละกัน ตอนกลับค่อยรถเมล์ตามสไตล์คนรวย(ซะเมื่อไหร่) นั่งรถสักพักก็ถึงที่หมาย พวกเราตรงไปที่จุดรับสมัครบัตร mcard ก่อนเลย เพราะอะไรน่ะหรือ...>!!!! ก็เพราะว่า บัตร mcard เข้าฟรี 2 คนหน่ะสิค่ะคุ๊ณ เจ้าหน้าที่ทำงานกันไวมากๆ นั่งยังไม่ทันไร อ๊ะได้บัตรมาแล้ว....จะช้าอยู่ไยเล่า สวนน้ำรอเราอยู่ เมื่อเข้ามาถึงสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ...จับจองพื้นที่ค่ะ หาทำเลเหมาะ ๆ เนื่องจากว่าวันที่ไปเป็นวันเสาร์ ทำเลดี ๆ มักจะมีผู้คนมาจับจองกันหมดแล้ว หลังจากได้พื้นที่เกือบส่วนตัว สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือ เช่าชุดว่ายน้ำก่อน เนื่องด้วยไม่มีชุดเป็นของตัวเอง ก็นะ ส่วนตัวเป็นคนว่ายน้ำไม่เป็น นาน ๆ ชาตินึงจะมาเล่นน้ำสักกะที ถ้ามีชุดเป็นของตัวเองคงแปลกพิลึก อัตราค่าเช่าก็ถูกแสนถูก ค่าเช่าชุด 60 บาทเท่านั้น หมวกอีก 10 บาทค่ะ นี่ถ้ามีอุปกรณ์พร้อมหล่ะก็ ฟรีทุกอย่าง!!!! อะไรจะีดีเช่นนี้ เช่าชุดกันเสร็จก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมลงน้ำ!!



เนื่องจากแดดที่ร้อนราวกับอยู่ในทะเลทราย เราจึงต้องจัดเครื่องบำรุงผิวกันสักหน่อย ทานู้นทานี่เสร็จก็พร้อม.....ที่จะกิน!!! เอ๊ะยังไง ชาวบ้านชาวช่องเค้าเปลี่ยนชุดพร้อมจะลงน้ำ ดิฉันไม่ค่ะ เรื่องกินเรื่องใหญ่ ฉะนั้นแล้วขอเปิดงานมหกรรมการกินก่อนเลยละกัน เนื่องจากจะลงน้ำ จึงขอแบบซอฟต์ ๆ ก่อนจึงจัดด้วย มาม่าผัดใส่ไข่ เส้นนุ่ม ๆ รสชาติกลมกล่อม อร่อยแบบประหยัดจริงๆค่ะ กินเสร็จอะไรเสร็จพร้อมจะหย่อนตูดลงน้ำ พวกเราเริ่มที่สระน้ำวนก่อน สัมผัสแรกที่ลงน้ำ แหมม มันช่างเย็นชื่นใจซะจริง ๆ แม้แดดจะร้อนแค่ไหนก็ไม่หวั่น ไหน ๆ ก็มาว่ายน้ำแล้ว คุณเพื่อนเลยจัดชุดใหญ่ สอนดำน้ำกันแบบดื้อๆ ทำเอาฉันกินน้ำเข้าไปหลายลิตรเลยทีเดียว 




ข้างบนสระน้ำวนนั้นเป็นสไลด์เดอร์ที่ยาวที่สุดในสวนน้ำ คำนวณจากสมองน้อย ๆ ของฉันแล้ว จำนวนชั้นที่้ต้องเดินขึ้นไปคงไม่ต่ำกว่า 5 ชั้น นี่ฉันต้องลากขาอวบ ๆ ขึ้นไปถึง  5 ชั้นเชียวรึ คงไม่ไหวเป็นแน่แท้ มันไม่ใช่สไตล์ 555 ฉันชอบเล่นแบบธรรมดา ๆ มากกว่า(ข้ออ้างของคนขี้เกียจ) เล่นน้ำวนได้สักพักก็ระเหิดระเหินไปสระข้าง ๆ ที่ลึกกว่านี้ ประมาณว่าเพื่อน ๆ ว่ายน้ำกันขั้นแอดวานซ์มาก น้ำตื้น ๆ ว่ายไม่มันส์ สระนี้ลึก 1.5 เมตร ฉันได้แต่เกาะลู่ไปเรื่อย ๆ ก็เค้ากลัวจมง่าา จึง ๆ ก็ยืนถึงนะ แต่แอบหวั่น ๆ เพราะว่ายน้ำเป็นเป็น มาถึงสระนี้้พระอาทิตย์อยู่ตรงหัวพอดิบพอดี แม้แดดจะร้อนแค่ไหนก็ยังสู้อยู่ แอบเห็นคนอื่น ๆ ในสระงัดเทคนิค แทคติกต่าง ๆ มาวัดกันอย่างไม่มีใครกลัวใคร ทั้งท่ากบ ผีเสื้อ ฟรีสไตล์ในท่วงท่าสวยงาม ฉันได้แต่แอบยืนอยู่ริม ๆ ฝึกดำน้ำอย่างทุลักทุเล



             
นอกจากสระน้ำวน สระน้ำลึกแล้ว ก็ยังมีสระน้ำสำหรับเด็กอีกนะคะ สระเด็กพวกเราไม่ได้ลงไป แบบว่าอายอ่ะค่ะ โตแล้วลงสระเด็กเดี๋ยวจะโดนถาม "ป้า ๆ มาทำอะไรที่นี่หรอ" เจอแบบนี้แล้วเดี๋ยวจะเครียดค่ะ
เลยแอบถ่ายภาพมาให้ดู มีน้อง ๆ หนู ๆ มาว่ายน้ำกันอย่างสนุกสนาน



ระหว่างทางที่จะเดินไปพักกินข้าวกินปลา บังเอิญเจอเข้ากับสระน้ำในร่ม!!! โอ้ว มีสระเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ตรงนี้ด้วย รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ เวลาเจอสมบัติที่ซ่อนยังไงอย่างนั้นเลย ผ่านสระในร่มมาสักพักก็เจอกับซุ้มขายอาหาร มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย แถมราคาไม่แพงเวอร์ด้วยนะ น่ากินทุกอย่างเลย


 เิดินมาได้สักพักก็ถึงที่นั่งส่วนตั๊วส่วนตัว หลังจากหย่อนก้นลงได้ก็รีบเปิดกล่องข้าวกินทันที!!! รู้สึกเหมือนกับไม่ได้กินข้าวมาสองวัน(เอ่อ ได้ข่าวก่อนลงน้ำเพิ่งจะกินไป!!) แต่ละคนกินกันอย่างไม่มีใครเกรงใจใคร หยิบฉกกันอย่างเอร็ดอร่อย








หลังจากกินเสร็จอะไรเสร็จแล้ว ก็ไปลงน้ำต่ออีกสักพัก ประมาณ 3 โมงกว่า ๆ  ได้ฤกษ์เดินทางกลับบ้าน
เที่ยวทริปนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมาก ไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถทำแบบนี้ได้ บางคนว่า โอ๊ยย มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย จริง ๆ แล้วความพิเศษไม่พิเศษไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่อย่างเดียว สิ่งสำคัญคือ ความสุขใจ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ถ้าเรามีความสุขใจ มองสิ่งที่เห็นในเชิงบวก เราสามารถสนุกสนานในสถานที่ง่าย ๆ ที่คุ้นเคยได้  การเดินทางไม่จำเป็นต้องมีเงินมากเสมอไป เพียงแต่ใจเราอยากไป ไม่มีอะไรยากเกินไปไม่ถึง......





                                                                                                       KatewaY



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทำไมต้อง Kateway....?????

หลายคนที่แวะเข้ามาอาจจะสงสัย หรือไม่เข้าใจ หรืออะไรก็แล้วแต่.... Kateway คืออะไรหนออ..??? เค้าเป็นใคร มาทำอะไร เอ๊ะ!! เป็นผู้ร้ายหรือเปล่า(โอ้ มาย ก๊อดด) หรือมาขายสินค้า....(ชื่อแอบคล้ายแบรนด์ขายตรงยี่ห้อหนึ่ง)...หรืออาจจะเป็น.... พอละเดี๋ยวจะเยอะ!!! เอาหล่ะวันนี้เป็นบทความแรก จะกล่าวถึงที่มาที่ไปก่อนละกันเน๊อะ

กำเนิด Kateway 
บ่ายแก่ ๆ ของวันที่แดดร้อนมาก ๆ(เอ่อช่วงนี้เหมือนว่าจะร้อนทุกวัน!!)ดิฉัน...ผู้หญิงที่กำลังตกงานคนหนึ่งเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปยังร้านหนังสือ เดินวนไปวนมากำลังหาหนังสือถูกใจมานั่งอ่านเล่น สายตาไปสะดุดกับหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งเข้า...หยิบมาอ่านฆ่าเวลาสักหน่อยคงดีไม่น้อย หลังจากเปิดอ่านไปได้สักพัก "โอ้โหห น่าตื่นตาตื่นใจอะไรเช่นนี้!!!" ฉันถึงกับอุทานออกมา ถ้ามีคนอยู่ใกล้ ๆ คงหันมามองหน้าฉันเป็นแน่แท้ หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า "ท่องเที่ยวโมร๊อคโก" การได้อ่านหนังสือเล่มนี้มันเหมือนกับว่าฉันได้ไปเที่ยวที่โมร๊อคโกจริง ๆ ผู้เขียนบรรยายทุกสรรพสิ่งทีไ่ด้พบเจอมาอย่างละเอียด ทำให้ฉันคิดฝันจินตนาการไปว่าสักวันจะไปท่องเที่ยวแบบนี้บ้าง หลังจากกลับมาบ้านก็มานั่งเหี่ยวแห้งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ search ข้อมูลไปเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย งานก็ไม่มีเงินก็ไม่มา ชีวิตช่างบัดซบแท้เหลา!!! ในขณะที่ฉันกำลังตัดพ้อต่อโชคชะตา เพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฉันซึ่งกำลังเล่นคอมพิวเตอร์ก็โพลงขึ้นมาว่า "อยากไปเที่ยวอ่ะ อยากไปปาย" โถ่ อนิจจา เงินไม่มีสักบาทจะไปเที่ยวได้อย่างไร!!!! ฉันคิดเช่นนั้น แต่เจ้านิ้วมือที่ทำงานเร็วกว่าสมอง สั่งการให้พิมพ์คำว่า"เที่ยวปาย" ลงใน เจ้าพ่อ google ซะแล้ว พรึบ!!! ข้อมูลขึ้นมาดังใจ มีเว็บไซต์ให้เข้าไปดูผุดมาอย่างกับดอกเห็ด!! แต่ที่ไหนเล่าจะดีเท่าห้อง blue plannet ของเว็บไซต์ชื่อดังก้องเมือง(มิได้โฆษณาแอบแฝงแต่อย่างใด)หลังจากที่เข้าไปสำรวจแว็บแรกที่เข้ามาในหัว...โอ๊ยย ตาลายแท้หนออ ในห้องมีกระทู้ท่องเที่ยวเยอะมากก(ก็มันเป็นห้องเกี่ยวกับท่องเที่ยวนี่นา!!!) ณ จุดนี้ ทำให้ฉันเพลิดเพลินเจริญใจในการดูข้อมูลที่คนในห้องเอามาแชร์ มา preview ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ คงมีสักวันแหละน๊าา ที่ฉันจะได้เที่ยวแบบนี้บ้าง เอาหล่ะ!!!ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีบล็อกท่องเที่ยวเป็นของตัวเอง(เคยเที่ยวบ้างยังเหอะ!!) เพื่อนรุ่นพี่ฉันบอกว่า "จะทำบล็อคก็ต้องตั้งชื่อด้วยนะ เอาชืออะไรดี" บอกตรง ๆ ยังคิดไม่ออกบอกไม่ถูก จะเอาอะไรดีน๊าา....ลูกเจี๊ยบเดินทาง....เอ่ออ ตัวใหญ่แบบนี้ชื่อลูกเจี๊ยบแลดูจะไ่ม่เหมาะ หมูป่าท่องเที่ยว!!!....ฮาร์คคอเกินไป ณ จุดนี้ หลังจากขบคิดอยู่สักพัก พี่เค้าเลยแนะนำให้ "เอาชื่อนี้มั้ย kateway ฟังดูคล้องกับ gateway ความหมายดีนะ ประมาณว่า ประตูสู่การเดินทางของเคทเองไง" โอเคโป๊ะเชะเลยชื่อนี้ชอบค่ะ เลอค่า กิ๊บเก๋ไฮโซมาก.....นี่แหละค่ะ คือที่มาของชื่อ ตอนหน้าจะเริ่มเดินทางกันแล้วนะคะ รับรองเซอร์ไพร์สแน่นอนเจ้าค๊าา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS